กลองมีหลายประเภท แต่ละประเภทมีวัตถุประสงค์การใช้งานแตกต่างกัน ทั้งเป็นเครื่องให้จังหวะ เป็นเครื่องมือสื่อสารเพื่อบอกเวลาและเหตุการณ์ เสียงกลองยังถูกใช้เป็นเครื่องมือติดต่อกับสิ่งเหนือธรรมชาติหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อส่งสารหรือสร้างความพึงพอใจและแสดงความเคารพ
กลองเส็งบ้านขี้เหล็กใหญ่ที่เก็บรักษาไว้ที่วัดบริบูรณ์ ต. ในเมือง อ. เมือง จ. ชัยภูมิ เป็นกลองเก่าแก่ สันนิษฐานว่าน่าจะมีอายุมากกว่า 100 ปี จัดอยู่ในประเภท “กลองกิ่ง” เพราะทำจากกิ่งไม้ที่เหลือจากการทำกลองเพลของวัด ใช้ตีส่งสัญญาณและตีแข่งขันที่เรียกเป็นภาษาอีสานว่า “เส็งกลอง” จึงเป็นที่มาของชื่อ “กลองเส็ง” กลองคู่นี้ทำจากไม้ประดู่ ก้นตัน ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษของกลอง จ. ชัยภูมิ
กลองเส็งประกอบด้วย “ตัวกลอง” ใช้ไม้ทั้งท่อนขุดเอาเนื้อไม้ออกเป็นส่วนกลางของกลอง ปกติการทำกลองเส็งจะต้องขุดเนื้อไม้ด้านในออกหมดจนมีลักษณะเป็นท่อกลวง ๆ แต่กลองเส็งบ้านขี้เหล็กใหญ่เป็นกลองก้นตัน ไม่ขุดให้ทั้งสองด้านทะลุถึงกันอย่างที่อื่น หน้ากลองด้านบนมีขนาดใหญ่กว่า เรียกว่า “หน้ากลองใหญ่” ขึงด้วยหนังวัว ส่วนด้านล่างมีขนาดเล็กกว่า เรียกว่า “หน้ากลองเล็ก” จะขึงด้วยหนังหรือหุ้มโลหะก็ได้ ที่ตัวกลองเจาะ “รูแพ” เพื่อระบายอากาศและทำให้เกิดเสียงดังเวลาตี กลองส่วนใหญ่ทำจากไม้ประดู่ ถ้าได้ไม้ประดู่ตับควายถือว่าดีที่สุดเพราะเสียงจะดังกว่าไม้อื่น แต่หายากมาก ปัจจุบันมีแต่ไม้ประดู่แดงและต้องเข้าไปหาในป่า ก่อนตัดไม้จะต้องมีการทำพิธีบวงสรวงเพื่อขออนุญาตเทวาอารักษ์ก่อนทุกครั้ง
ส่วนสำคัญอีกอย่างหนึ่งของการทำกลองเส็งคือ “หนัง” ชาญวิทย์ ตั้งเพียร หรือ ป. ผู้สืบทอดการทำกลองบ้านขี้เหล็กใหญ่เล่าว่า หนังกลองเส็งเป็นหนังควาย ซื้อจากโรงฆ่าสัตว์ที่ จ. ขอนแก่น นำมาฟอกด้วยกรรมวิธีโบราณ เริ่มจากการตัดหนังให้ได้ขนาด นำไปแช่น้ำ 30-36 ชั่วโมง แล้วตำด้วยครกมองตำหนังที่มีรูปร่างคล้ายครกกระเดื่องแต่ขนาดใหญ่กว่าและหนักกว่าครกกระเดื่องธรรมดา ต้องใช้หลายคนช่วยกันเหยียบ ระหว่างที่ตำก็จะใส่ใบสบู่ดำลงไปด้วยเพื่อช่วยให้หนังนิ่ม ใช้เวลา 6-10 ชั่วโมง จนกว่าหนังจะได้ที่ วิธีดูว่าหนังได้ที่หรือยังให้โยนแผ่นหนังขึ้น ถ้าตกลงมากองเหมือนผ้าเปียกน้ำแสดงว่าหนังนิ่มใช้ได้แล้ว แต่ถ้าตกลงมากลิ้งแสดงว่ายังแข็ง ใช้ไม่ได้
เมื่อตำหนังจนได้ที่แล้ว นำมาเจาะรูโดยรอบ เรียกว่า “หูบักแซว” ขึงหนังเข้ากับหน้ากลองให้ตึงโดยใช้ปากกายึด ทิ้งไว้หนึ่งคืน จากนั้นจึงร้อยเชือกแล้วถักเป็นรูปสามเหลี่ยมดึงหนังกลองให้ตึง เรียกว่า “หูบักโก” เมื่อจะตั้งเสียงต้องตีหนังให้หย่อน จากนั้น รินน้ำใส่ในรูแพแล้วคว่ำหน้ากลองลง ทิ้งไว้จนกว่าน้ำจะซึมทะลุหนังกลอง ดึงปรับหนังหน้ากลองและทดลองตีจนกว่าจะได้เสียงที่พอใจ จากนั้นใช้กระดาษทรายขัดให้หนังบางเรียบเสมอกันเพื่อให้กลองมีเสียงดังกังวาน ถ้าหนังไม่บางเสมอกัน เสียงจะไม่ค่อยดัง
นอกจากนี้ ยังมีเคล็ดลับว่าก่อนตีกลองเส็งทุกครั้ง ต้องเทสุราหรือน้ำเปล่ารดหน้ากลองใหญ่เสียก่อน เพื่อให้เสียงกลองดังกังวานยิ่งขึ้น